สวัสดีครับ ในยุคปัจจุบันนี้ เราไม่แค่ต้องการอาหารที่อร่อยแต่ยังต้องการอาหารที่สุขภาพดีด้วย อาหารไทยเป็นหนึ่งในอาหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ไม่เพียงแต่อร่อยแต่ยังมีสารอาหารสูงและส่วนผสมสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำวิธีการทำขนมชาไทยแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นขนมหวานที่ผสมผสานกันระหว่างชาไทยและส่วนผสมอื่น ๆ เพื่อให้เพื่อนๆ ได้ลองทำและสัมผัสความอร่อยและคุณค่าทางสารอาหารจากขนมชาไทยได้เอง ไม่ว่าจะเป็นไอศกรีมชาไทย บัวลอย ขนมเปียกปูน ทับทิมกรอบ หรือกะทิสังขยา อย่างไรก็ตาม เราจะยังไม่ลืมสอนวิธีการเลือกชาที่มีคุณภาพและเก็บรักษาให้ถูกวิธี เพื่อให้ได้ขนมชาไทยที่มีคุณภาพและอร่อยที่สุดและเติมพลังสุขภาพให้กับร่างกายของเรา
ความหมายของขนมชาไทย
ขนมชาไทย เป็นขนมหวานชนิดหนึ่งที่ใช้ชาไทยเป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งชาไทยมีลักษณะเป็นชาเขียวที่ผ่านการผลิตด้วยเทคนิคการผลิตเฉพาะที่ประเทศไทย ซึ่งทำให้มีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้นเหมือนไม้ผลไม้สด นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมอื่นๆ เช่น น้ำตาลทราย น้ำเกาลัด สังขยา หรือ กะทิ เป็นต้น ขนมชาไทยมีหลายชนิด เช่น บัวลอย ทับทิมกรอบ ขนมเปียกปูน และอื่นๆ ซึ่งถือเป็นขนมอาหารว่างที่ได้รับความนิยมและถูกใช้ในการเฉลิมฉลองวันสำคัญของไทยอย่างงดงาม ไม่ว่าจะเป็นงานวันเด็ก งานพิธีเชิงศาสนา หรืองานเลี้ยงเทศกาลต่างๆ ด้วยความหวานหอมของชาไทยและส่วนผสมอื่นๆ ทำให้ขนมชาไทยเป็นขนมหวานที่ได้รับความนิยมและความรู้จักในท้องตลาดและสายขนมของไทยและต่างประเทศไปแล้ว
ไอศกรีมชาไทย
ไอศกรีมชาไทย เป็นเมนูขนมหวานที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ด้วยรสชาติหวานกลมกล่อมของไอศกรีมผสมกับกลิ่นหอมของชาไทย ให้ความรู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวาให้กับร่างกาย ดังนั้นเพื่อนๆ อยากลองทำไอศกรีมชาไทยเพื่อสัมผัสความอร่อยและความเย็นสดชื่นของเมนูนี้กันดูบ้าง ดังนี้คือวัตถุดิบและขั้นตอนการทำไอศกรีมชาไทย
วัตถุดิบที่ใช้ในการทำ
- ชาไทยคุณภาพดี
- น้ำตาลทราย
- นมข้นหวาน
- น้ำเกาลัด
- น้ำมะพร้าว
ขั้นตอนการทำ
- ใส่ชาไทยในน้ำเดือดและต้มจนเหลือครึ่งหนึ่งของปริมาณเดิม แล้วกรองเอาใบชาออก
- ใส่น้ำตาลทรายลงไปในน้ำชาและคนจนน้ำตาลละลาย
- เตรียมกะทิโดยใส่กะทิและน้ำมะพร้าวลงในหม้อ นำไปต้มจนเดือด
- เอานมข้นหวานใส่ในชาและคนจนเข้ากัน จากนั้นตักไอศกรีมเข้าไปในถ้วย และเติมกะทิสดลงไปบนไอศกรีม
- ตกแต่งด้วยขนมปังกรอบหรือขนมชั้น และเติมน้ำเชื่อมหวานหรือซอสชาเขียวลงไป เพื่อเพิ่มรสชาติ
บัวลอย
บัวลอยเป็นขนมหวานไทยที่เป็นที่นิยมมากในงานฉลองแต่งงานและงานเลี้ยงสำคัญอื่น ๆ ด้วยรสชาติหวาน นุ่ม น่ากิน และรูปลักษณ์ที่สวยงาม ถ้าคุณกำลังมองหาสูตรการทำบัวลอยเพื่อลองทำเอง ดังนี้คือวัตถุดิบและขั้นตอนการทำบัวลอย
วัตถุดิบที่ใช้ในการทำ
- แป้งข้าวเจ้า 250 กรัม
- น้ำเปล่า 200 มิลลิลิตร
- แป้งมันฝรั่ง 1 ช้อนชา
- น้ำมะพร้าวหรือน้ำเปล่าสำหรับแช่บัวลอย
- น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
- น้ำเชื่อมหวาน 1 ถ้วย
- ใบเตยสำหรับห่อบัวลอย
ขั้นตอนการทำ
- ผสมแป้งข้าวเจ้ากับน้ำเปล่าให้เข้ากัน จากนั้นนวดกล้ามเนื้อแป้งจนเรียบและไม่มีตุ่มอากาศ นำแป้งไปผ่านเครื่องบดเพื่อให้เนื้อแป้งเนียนขึ้น (หรือใช้มือนวดได้เช่นกัน)
- ตักแป้งเป็นลูกเล็กๆ โดยใช้ช้อนตะไคร้ จากนั้นนำลูกแป้งลงในน้ำเย็นและคนให้เรียงกันและไม่ติดกัน
- ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นใส่ลูกแป้งลงไปต้มจนลูกแป้งลอยขึ้นมาด้านบน ใช้เวลาประมาณ 3-5 นาที
- แล้วนำบัวลอยลงแช่น้ำเปล่าหรือ
ขนมเปียกปูน
ขนมเปียกปูนเป็นขนมหวานไทยที่มีลักษณะเป็นช่องว่างภายใน มีรสชาติหวานเบา นุ่มเนียน และมีกลิ่นหอมของไข่ ถ้าคุณกำลังมองหาสูตรการทำขนมเปียกปูนเพื่อลองทำเอง ดังนี้คือวัตถุดิบและขั้นตอนการทำขนมเปียกปูน
วัตถุดิบที่ใช้ในการทำ
- แป้งข้าวเจ้า 300 กรัม
- แป้งมันฝรั่ง 1 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย 100 กรัม
- เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
- ไข่ไก่ 3 ฟอง
- น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำใช้ 200 มิลลิลิตร
- สีผสมอาหาร (ถ้าต้องการ)
ขั้นตอนการทำ
- ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมันฝรั่ง น้ำตาลทราย เกลือป่น และน้ำให้เข้ากัน จากนั้นใช้เครื่องปั่นผสม (หรือใช้มือนวด) จนเนื้อแป้งเป็นเนื้อเดียวกัน และเป็นพื้นผิวเนียน
- ตีไข่ให้ฟูและเข้ากัน จากนั้นใส่ลงไปในผสมแป้งที่เตรียมไว้ คนให้เข้ากัน
- ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช เมื่อน้ำมันร้อนแล้วใช้ช้อนตักตักแป้งเปียกปูนลงไปในน้ำมัน ใช้ไฟกลาง ๆ ตามจนสุก เมื่อสุกแล้วตักขึ้นพักไว้ให้เย็น
- หลังจากเย็นแล้วนำขนมเปียกปูนไปต้มใ
ทับทิมกรอบ
ทับทิมกรอบเป็นเมนูขนมหวานไทยที่เป็นที่นิยมมากในเดือนตุลาคม โดยมีลักษณะเป็นสูตรขนมหวานที่มีลักษณะเป็นชิ้นกรอบๆ ภายนอก ภายในเป็นฟองน้ำตรงกลาง ถ้าคุณกำลังมองหาสูตรการทำทับทิมกรอบเพื่อลองทำเอง ดังนี้คือวัตถุดิบและขั้นตอนการทำทับทิมกรอบ
วัตถุดิบที่ใช้ในการทำ
- แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม
- แป้งทอดกรอบ 100 กรัม
- น้ำตาลทราย 100 กรัม
- น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำเปล่า 150 มิลลิลิตร
- ฟักทองหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ
ขั้นตอนการทำ
- ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งทอดกรอบ และน้ำตาลทรายให้เข้ากัน จากนั้นเตรียมน้ำเปล่าใส่ลงไป คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกัน
- ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช เมื่อน้ำมันร้อนแล้วใช้ช้อนตักตักแป้งทับทิมลงไปในน้ำมัน ใช้ไฟกลาง ๆ ตามจนกรอบ เมื่อกรอบแล้วตักขึ้นพักไว้ให้เย็น
- นำฟักทองไปต้มในน้ำเปล่า จนฟักทองนิ่ม ตักขึ้นพักไว้ให้เย็น
- เมื่อทับทิมกรอบเย็นแล้ว นำฟักทองไปวางลงที่กลางทับทิมกรอบ แล้วนำไปอบในอบไอเสียด้วย
กะทิสังขยา
กะทิสังขยาเป็นเมนูขนมหวานไทยที่มีลักษณะเป็นขนมที่ส่วนประกอบหลักคือน้ำตาลแดง และกะทิ มีลักษณะเนื้อนุ่ม หอม และหวานมัน ถ้าคุณกำลังมองหาสูตรการทำกะทิสังขยาเพื่อลองทำเอง ดังนี้คือวัตถุดิบและขั้นตอนการทำกะทิสังขยา
วัตถุดิบที่ใช้ในการทำ
- กะทิ 2 ถ้วย
- น้ำตาลแดง 1 ถ้วย
- ไข่ไก่ 4 ฟอง
- เกลือ 1 ช้อนชา
ขั้นตอนการทำ
- ผสมกะทิกับน้ำตาลแดงในหม้อ แล้วตั้งไฟอ่อน ๆ คนจนน้ำตาลละลายในกะทิ
- ใช้ฟอร์คตีไข่ จากนั้นเทใส่กะทิที่ต้มไว้ คนให้เข้ากัน
- ตั้งหม้อน้ำไปอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นำถ้วยกะทิสังขยาไปวางในน้ำ อบเป็นเวลา 30 นาที
- เมื่อสุกแล้วนำออกมาทานได้เลย
วิธีการเสิร์ฟ
กะทิสังขยาสามารถเสิร์ฟได้โดยใช้ถ้วยแก้ว โรยหน้าด้วยเกลือ และใช้ช้อนกลมและช้อนชาช่วยในการทาน สามารถเพิ่มรสชาติด้วยการใส่ใบตองสดลงไปในกะทิสังขยา หรือจะใช้ผลไม้ที่ชอบใส่ได้เช่นกัน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับขนมชาไทย
1. สามารถใช้ชนิดของชาอื่นแทนชนิดของชาไทยในสูตรขนมได้หรือไม่?
สามารถใช้ชนิดของชาอื่นแทนชนิดของชาไทยได้ แต่อาจมีผลต่อรสชาติของขนม และอาจต้องปรับสัดส่วนส่วนผสมได้ตามชนิดของชาที่ใช้แทน
2. สูตรไหนที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ไม่ชอบหวาน?
สูตรขนมไทยที่ไม่มีการใช้น้ำตาลหรือใช้น้อยมาก และใช้วัตถุดิบที่เป็นผักหรือผลไม้ เช่น ขนมจีนน้ำยาปลาหรือลูกชุบ น้ำตกหมู แต่งด้วยผักสด ซึ่งจะไม่มีรสหวานเยาะเย้และเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบหวาน
3. วิธีการเพิ่มความหอมของชาไทยในขนมได้อย่างไร?
การเพิ่มความหอมของชาไทยในขนมสามารถทำได้โดยการเติมใบตะไคร้หรือใบเตยลงไปในสูตรขนม หรือใช้น้ำผึ้งในการผสมผักหรือผลไม้เพื่อเพิ่มความหอม โดยต้องเตรียมใบตะไคร้หรือใบเตยให้สดๆ และละเอียดก่อนใช้งาน
สรุป
การทำขนมชาไทยมีวิธีการทำหลายแบบโดยมีสูตรขนมชาไทยที่ได้รับความนิยมอย่างไอศกรีมชาไทย บัวลอย ขนมเปียกปูน ทับทิมกรอบ และกะทิสังขยา สำหรับการเสิร์ฟขนมชาไทยสามารถนำมาผสมกับชาเย็นเพื่อเพิ่มความหอมหวาน โดยชาไทยยังมีคุณค่าทางสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หากต้องการทำขนมชาไทยคุณภาพดี ควรเลือกชาที่มีคุณภาพและเก็บรักษาให้ถูกวิธี อีกทั้งควรรู้จักกับวิธีการชงชาเย็นให้ได้ความเข้ม